“ควบคุมไฟได้แล้ว-ยังคงมีกลุ่มควัน” สถานการณ์ล่าสุดเหตุเพลิงไหม้โกดังเก็บสารเคมี อ.ภาชี อยุธยา ค่ำวานนี้ จนต้องมีการอพยพชาวบ้านรอบข้างราว 50 ครอบครัว ย้ายผู้ป่วยจากโรงพยาบาล สั่งตั้งศูนย์อพยพ-โรงพยาบาลสนามกลางดึก ไม่มีรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต
อธิบดีกรมโรงงานเผย “กากมีปริมาณ 3,000 ตัน-เป็นกากที่อยู่ระหว่างรอการนำไปจัดการที่เหมาะสมโดยกรม ด้วยเหตุเอกชนจัดการไม่ได้ “จนเกิดเหตุเพลิงไหม้วานนี้-ระดับความอันตรายกากที่เหลืออยู่ระหว่างส่งตรวจ”
“ส่อวางเพลิง” อธิบดีฯ ตั้งข้อสังเกต ด้านผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เผยกำลังเร่งรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีผู้ที่เข้าข่ายครอบครองกาก “เอกอุทัย”
“ชาวบ้านกังวลความเสี่ยง” ผู้ว่าอยุธยา – “ผลกระทบระยะยาวน่ากังวล” มูลนิธิบูรณะนิเวศ
คำชี้แจงกรมโรงงาน
“คาดว่ายังมีสารเคมีเก็บไว้ในโกดังราว 3,000 ตัน โดยกากสารเคมีที่ไหม้ไฟส่วนใหญ่เป็นโซลเว้นท์ ที่ใช้สำหรับชะล้างในอุตสาหกรรม เชื้อเพลิงที่ไหม้ไฟส่วนใหญ่เป็นเปลือกสายไฟฟ้าจำนวนมาก” จุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวระหว่างลงพื้นที่เมื่อช่วงดึกวานนี้ (1 พ.ค. 2567)
“สำหรับการเคลื่อนย้ายกากสารเคมีทั้งหมดที่ล่าช้า อยู่ที่ขั้นตอนขบวนการข้อกฏหมายที่สั่งการให้ผู้ครอบครอง คือเจ้าของโกดัง และผู้เช่าโกดัง เข้ามาดำเนินการขนย้ายหรือเอาไปทำลายตามกระบวนการ แต่เมื่อไม่ดำเนินการรัฐต้องดำเนินการเอง จึงทำให้ล่าช้า สร้างความเดือดร้อนให้กับชาวบ้าน ไหนจะต้องรอขออนุมัติงบประมาณปี 67 ได้มาแล้ว 6.7 ล้านบาทก็ไม่เพียงพอ
ล่าสุดได้ขออนุมัติโยกงบจากราชบุรี มากำจัดกากสารเคมี ที่อำเภอภาชีก่อน เนื่องจากมีความจำเป็น ได้อนุมัติให้มาแล้วจำนวน 28 ล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างเขียน ทีโออาร์ ว่าจ้างผู้มาดำเนินการ แต่ก็มาเกิดเหตุเสียก่อน” จุลพงษ์ เปิดเผย
“จากการตรวจสอบเบื้องต้นสันนิษฐานว่า เหตุเพลิงไหม้ อาจเกิดจากการลอบวางเพลิง เพราะโกดังแห่งนี้ เคยเกิดไฟไหม้มาแล้วหนึ่งครั้ง และพบหลักฐานชัดเจนว่าเป็นการวางเพลิง ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก ในรอบ 3 เดือนมานี้ เกิดเหตุเพลิงไหม้โกดังนี้ไปแล้วทั้งหมด 3 ครั้ง” อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม ให้สัมภาษณ์ Thai PBS บ่ายวันนี้ (2 พ.ค.2567)
“กำลังเร่งรวบรวมหลักฐานดำเนินคดีเจ้าของกาก-คาดส่งอัยการ 10 พ.ค.”
“ขณะนี้อยู่ระหว่างรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้องกับ บริษัท เอกอุทัย จำกัด ซึ่งพบว่าเป็นเจ้าของโกดังเก็บกากสารเคมีในพื้นที่ จ.ระยอง ที่เกิดเพลิงไหม้ก่อนหน้านี้ และผู้ทำสัญญาขอเช่าโกดังโดยจะมีการส่งสำนวน เพื่อดำเนินกับทั้ง 2 กลุ่มใน 4 ข้อหา เช่น ครอบครองวัตถุอันตรายโดยไม่ได้รับอนุญาต การจัดการสิ่งปฏิกูล และมูลฝอยโดยมิได้รับใบอนุญาต
ที่ผ่านมาพนักงานสอบสวนได้มีการเรียกกลุ่มผู้ต้องหาที่มี 5-6 คนมาสอบปากคำพบว่า 1 ในนั้น คือผู้ที่ทำสัญญาเช่าโกดังคนแรกไม่ยอมเข้าให้ปากคำ หลังจากนี้จะดำเนินการขอหมายจับ และนำหมายจับดังกล่าว ส่งพร้อมสำนวนให้อัยการจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเพื่อส่งฟ้อง
เบื้องต้นพบว่าสำนวนมีความคืบหน้า คาดว่าจะแล้วเสร็จและส่งให้อัยการฯ ได้ภายในวันที่ 10 พ.ค.นี้” พล.ต.ต.วัชรินทร์ พูสิทธิ์ ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เปิดเผยกับ Thai PBS ถึงการดำเนินคดีกับเจ้าของโกดังเก็บสารเคมี
ควบคุมไฟได้แล้ว-ยังดับไม่สนิท
“สถานการณ์เพลิงไหม้ที่โกดังเก็บสารเคมีของกลางในพื้นที่ หมู่ที่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ในช่วงเช้าวันนี้ยังมีเจ้าหน้าที่ทำงานอยู่ เนื่องจากตอนนี้ยังคงมีกลุ่มควันสีขาวคละคลุ้งอยู่ภายในโกดัง” NBT Connext รายงานสถานการณ์จากพื้นที่เมื่อเวลาประมาณ 10:30 น. วันนี้ (2 พ.ค. 2567) ราว 16 ชั่วโมงหลังเกิดเหตุ
รายงานข่าวเปิดเผยว่า เหตุเพลิงไหม้โกดังดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงค่ำวันแรงงานแห่งชาติ ราวเวลา 18.00 น. วานนี้ (1 พ.ค.2567) โดยโกดังดังกล่าวตั้งอยู่ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นโกดังให้เช่า และมีผู้เช่าเก็บสารเคมีอันตราย โดยก่อนนี้เคยเกิดเหตุเพลิงไหม้เมื่อ 29 ก.พ. 2567 จากการตรวจสอบสาเหตุของเจ้าหน้าที่พบว่าเป็นการวางเพลิง โดยขณะนี้คดีอยู่ระหว่างการดำเนินคดีของสถานีตำรวจภูธรภาชี
“เจ้าหน้าที่สามารถควบคุมเพลิงได้แล้วเมื่อราว 01:00 น. ของวันนี้ แต่ในเวลา 10.00 น. ยังคงพบเห็นกลุ่มควันพุ่งออกมาจากอาคารที่ 4 และ 5 ซึ่งโกดังหมายเลขที่ 4 พบโครงสร้างหลังคาได้รับความเสียหาย บ่งบอกว่าจุดนี้คือจุดที่มีเพลิงลุกไหม้หนักที่สุด
หลังเหตุเพลิงไหม้ มีเสียงระเบิดเป็นระยะ เจ้าหน้าที่เร่งควบคุมเพลิง โดยเร่งระดมรถโฟมเข้าควบคุมสถานการณ์ พร้อมอพยพประชาชนที่อยู่ใกล้เคียง ประมาณ 50 หลังคาเรือน ไปที่วัดโคกม่วง
เทศบาลภาชี แจ้งให้ประชาชนที่อาศัยอยู่ บริเวณตั้งแต่โรงพยาบาลภาชี ไปจนถึงตลาดภาชี และบริเวณใกล้เคียง สวมหน้ากากอนามัย และออกมาอยู่ในที่โล่ง เพื่อป้องกันอันตรายจากกลุ่มควันที่ฟุ้งกระจาย หากผู้ใดมีอาการระคายเคืองผิวหนัง ตา หายใจติดขัด ให้มาที่โรงพยาบาลภาชีทันที นอกจากนี้ ยังได้แจ้งจุดอพยพไปที่วัดโคกม่วง
21.30 น. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย รายงาน ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 2 สุพรรณบุรี ได้นำกำลังเจ้าหน้าที่ชุดเผชิญสถานการณ์วิกฤต (ERT) พร้อมด้วยเครื่องจักรกลสาธารณภัย ได้แก่ รถดับเพลิงโฟมและเคมี ขนาดใหญ่ รถดับเพลิงชนิดหอน้ำ รถยนต์กู้ภัยเคลื่อนที่เร็ว เคมีโฟม 4,000 ลิตร ลงพื้นที่สนับสนุนการระงับเหตุเพลิงไหม้ โกดังเก็บสารเคมี ในพื้นที่หมู่ที่ 2 ต.ภาชี อ.ภาชี จ.พระนครศรีอยุธยา ร่วมกับอำเภอ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และพื้นที่ใกล้เคียง รวมถึงสมาคมและมูลนิธิ
สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ได้เปิดศูนย์ปฏิบัติการฉุกเฉินด้านการแพทย์และสาธารณสุข (PHEOC) ทันที เบื้องต้นยังไม่ได้รับรายงานผู้บาดเจ็บและเสียชีวิต แต่กลุ่มควันลอยไปถึงโรงพยาบาลภาชี ซึ่งอยู่ห่างจุดเกิดเหตุ 600 เมตร เร่งย้ายผู้ป่วย 31 ราย ไปยังโรงพยาบาล 4 แห่ง
โรงพยาบาลภาชี ยังได้จัดตั้งโรงพยาบาลสนาม พร้อมทั้งสนับสนุนอุปกรณ์ให้กับจุดอพยพประชาชนที่วัดโคกม่วง และจัดทีมเจ้าหน้าที่จาก รพ.สต. ร่วมดูเเลประชาชน ที่โรงพยาบาลสนามด้วย
หลังสถานการณ์เพลิงไหม้สงบแล้ว สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดพระนครศรีอยุธยา จะส่งเจ้าหน้าที่กลุ่มงานอนามัยสิ่งแวดล้อมเเละอาชีวอนามัย ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์ และเฝ้าระวังผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนโดยรอบพื้นที่ต่อไป” Thai PBS รายงาน
“ชาวบ้านกังวลความเสี่ยง” ผู้ว่าอยุธยา – “ผลกระทบระยะยาวน่ากังวล” มูลนิธิบูรณะนิเวศ
นิวัฒน์ รุ่งสาคร ผู้ว่าราชการจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ชาวบ้านในพื้นที่มีความกังวล และอยากให้กรมโรงงานอุตสาหกรรมเร่งย้ายสารเคมีของกลางออกจากพื้นที่
ด้านมูลนิธิบูรณะนิเวศได้ส่งเจ้าหน้าเข้าไปตรวจวัดคุณภาพอากาศในบริเวณรอบจุดเกิดเหตุและรายงานผลดังนี้
“ผลตรวจวัดคุณภาพอากาศ @โกดังภาชี หนึ่งวันหลังไฟไหม้เผาผลาญของเสียอันตรายในโกดัง 4 และ 5 ซึ่งมีการลักลอบนำกากอุตสาหกรรมมาเก็บไว้เป็นจำนวนมาก
เช้านี้ เจ้าหน้าที่มูลนิธิบูรณะนิเวศยกทีมจากพื้นที่หนองพะวา อ. บ้านค่าย จ. ระยอง มายัง อ. ภาชี จ. พระนครศรีอยุธยา เพื่อติดตามเหตุการณ์ และในช่วงเวลาระหว่าง 11.30-12.30 น. ได้ตระเวนตรวจวัดคุณภาพอากาศ ทั้งในบริเวณใกล้ที่เกิดเหตุและสถานที่สำคัญใกล้เคียง ได้ผลดังนี้
– จุดตรวจวัดริมคลองส่งน้ำข้างโกดังที่เกิดเหตุ ค่า pm2.5 ประมาณ 50 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่าสารอินทรีย์ระเหยง่ายรวม (tVOCs) ประมาณ 0.2 ส่วนในล้านส่วน (ppm)
– จุดตรวจวัดหน้าโกดังที่เกิดเหตุ ค่า pm2.5 ประมาณ 103 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า tVOCs ประมาณ 0.2 ppm
– จุดตรวจวัดบริเวณโรงพยาบาลภาชี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 500 เมตร ค่า pm2.5 ประมาณ 72.4 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า tVOCs ประมาณ 0.01 ppm
– จุดตรวจวัดบริเวณเทศบาลตำบลภาชี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 700 เมตร ค่า pm2.5 ประมาณ 73.6 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า tVOCs ประมาณ 0.01 ppm
– จุดตรวจวัดบริเวณโรงพยาบาลสนาม วัดโคกม่วง ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 900 เมตร ค่า pm2.5 ประมาณ 98 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า tVOCs ประมาณ 0.03 ppm
– จุดตรวจวัดบริเวณที่ว่าการอำเภอภาชี ซึ่งอยู่ห่างจากจุดเกิดเหตุประมาณ 1.7 กิโลเมตร ค่า pm2.5 ประมาณ 81 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เมตร ค่า tVOCs ประมาณ 0.02 ppm
ทั้งนี้ การตรวจวัดของมูลนิธิฯ เป็นการตรวจวัดแบบแสดงค่าเป็นปัจจุบัน (realtime) ดังนั้นอาจมีปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลต่อค่าที่วัดได้ อย่างไรก็ตาม จากการเปรียบเทียบค่าที่วัดได้ในแต่ละขณะกับผลการตรวจวัดของรถตรวจวัดอากาศเคลื่อนที่ของกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) ซึ่งมีการแสดงผลขึ้นจอในลักษณะ realtime เช่นกัน พบว่า โดยรวมแล้วได้ค่าที่สอดคล้องกัน ยกเว้นเฉพาะส่วนของ tVOCs ที่การตรวจวัดของ กรอ. แสดงผลเป็น 0 เสมอ และเป็นเช่นนี้มาตั้งแต่ที่เราพบกันในพื้นที่หนองพะวาแล้ว ซึ่งเป็นไปได้ว่า ความแตกต่างดังกล่าวมาจากความละเอียดในการตรวจวัดของเครื่องที่มีค่าต่ำสุดที่วัดได้ไม่เท่ากัน อย่างไรก็ตาม ทางมูลนิธิมีข้อสังเกตว่า ค่า tVOCs ณ บริเวณที่เกิดเหตุ (หน้าโกดังและริมคลองส่งน้ำข้างโกดัง) ที่เครื่องของมูลนิธิตรวจวัดได้ที่ประมาณ 0.2 ppm ก็ถือว่าเป็นค่าที่สูงพอสมควร ดีที่ว่า ค่าที่ตรวจวัดได้ในเขตชุมชนค่อนข้างต่ำกว่ามากหลายเท่า
ที่สำคัญ หากเปรียบเทียบค่าที่ตรวจวัดได้ ณ จุดเกิดเหตุที่ อ. ภาชี ก็ยังนับว่าน้อยกว่าบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุหนองพะวา ซึ่งรวมถึงเขตชุมชน นั่นหมายความว่า ในแง่ของความเสี่ยงต่อผู้คนแล้ว กรณีไฟไหม้ที่โรงงานวิน โพรเสสฯ จ. ระยอง ส่งผลกระทบให้ผู้คนต้องตกอยู่ในความเสี่ยงมากกว่า การดูแลพื้นที่ดังกล่าวและผู้รับผลกระทบในระยะยาว จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง” มูลนิธิฯ เปิดเผย
“เบื้องต้นได้ส่งรถตรวจวัดคุณภาพอากาศเคลื่อนที่ใกล้จุดเกิดเหตุ บริเวณที่ทำการอำเภอภาชี และจุดที่ 2 โรงพยาบาลภาชี พบว่าค่า ก๊าซไนโตรเจนไดออกไซด์ (NO2) ก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ (SO2) ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์ (CO) ที่ตรวจวัดไม่เกิน ตามประกาศประกาศกรมควบคุมมลพิษ เรื่องค่าขีดจำกัดการรับสัมผัสสารเคมีทางการหายใจแบบเฉียบพลัน แต่ยังต้องเฝ้าระวัง เนื่องจากค่าฝุ่นละอองมีค่าสูงกว่าค่ามาตรฐานในบรรยากาศทั่วไปค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง” อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม กล่าวหลังลงพื้นที่ตรวจสอบสถานการณ์เมื่อช่วงดึกวานนี้
“ให้ผู้ว่านำทีมแก้ปัญหา” นายกฯ สั่งการ
“เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สั่งการทุกหน่วยสนับสนุนการดับไฟและบรรเทาสถานการณ์ไฟไหม้โกดังอายัดสารเคมี บริเวณ อ.ภาชี พระนครศรีอยุธยา อย่างเต็มที่ รวมทั้งตรวจสอบสารเคมีตกค้าง และอพยพประชาชนบริเวณใกล้เคียง ทั้งนี้ สั่งการให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นหัวหน้าทีม และช่วยเหลือดูแลประชาชน
นายกฯ ให้วางแผนการทำงาน แบ่งทีมการทำงานแก้ไขสถานการณ์ ดับไฟ ฉีดน้ำซับสารเคมี ตรวจสอบการเคมีตกค้าง และให้ความช่วยเหลือประชาชนบริเวณใกล้เคียง รวมทั้งขอให้ทีมช่วยเหลือจากจังหวัดใกล้เคียง แสตนบายช่วยเหลือหากได้รับการร้องขอ
รวมทั้งประชาสัมพันธ์ประชาชน ใส่หน้ากากอนามัย และไม่ออกมาอยู่บริเวณที่โล่ง พร้อมระดมแพทย์เข้าดูแลด้วย” ชัย วัชรงค์ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าว